เมนู

[661] ถ้ายังมียังเป็นอยู่ ข้าพระบาทก็จะให้
เมื่อไม่มีไม่เป็นจะให้ได้อย่างไร แม้ถึงจะ
เป็นอย่างนี้แล้วก็ตาม ก็จะต้องให้ เพราะ
ข้าพระบาทจะลืมทานเสียไม่ได้.

จบ วิสัยหชาดกที่ 10

อรรถกถาวิสัยหชาดกที่ 10


พระศาสดาเมื่อประดับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อทาสิ ทานานิ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วในขทิรังคารชาดก ในหนหลัง
ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสเรียกท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมาแล้ว
ตรัสว่า คฤหบดี โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ห้ามท้าวสักกเทวราช
ผู้ประทับยืนในอากาศห้ามอยู่ว่า ท่านอย่าให้ทาน ก็ยังได้ให้ทานอยู่
เหมือนเดิม อันท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น ทูลอาราธนาแล้ว
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีนามว่า วิสัยหะ มีทรัพย์
สมบัติ 80 โกฏิ ได้เป็นผู้ประกอบด้วยศีล 5 มีอัธยาศัยในทางทาน

ยินดียิ่งในทาน. พระโพธิสัตว์นั้นให้สร้างโรงทานในที่ 6 แห่ง คือ
ที่ประตูเมืองทั้ง 4 ประตู ท่ามกลางพระนครและที่ประตูนิเวศน์
ของตน แล้วยังการให้ทานให้เป็นไปอยู่. บริจาคทรัพย์วันละหกแสน
ทุกวัน. พระโพธิสัตว์และยาจกทั้งหลาย ย่อมมีภัตตาหารเป็นเช่น
เดียวกัน. เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มี
งอนไถอันยกขึ้นแล้วคือไม่ต้องทำไร่ไถนา ภพของท้าวสักกะก็กัม-
ปนาทหวั่นไหวด้วยอานุภาพของการให้ทาน บัณฑุกัมพลศิลาอาศน์
ของท้าวเทวราชแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงดำริว่า ใครหนอ
ประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่ จึงทรงพิจารณาใคร่ครวญอยู่. ทรงเห็น
ท่านมหาเศรษฐี จึงทรงพระดำริว่า วิสัยหเศรษฐีนี้แผ่ไปกว้างขวาง
ยิ่งนัก ให้ทานกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องทำไร่ไถนา ชะรอย
จักให้เราเคลื่อนจากที่แล้วเป็นท้าวสุกกะเสียเองด้วยทานแม้นี้ เราจัก
ทำทรัพย์ของเขาให้ฉิบหายเสียกระทำเศรษฐีนั่นให้เป็นคนขัดสนจน
ให้ทานไม่ได้ จึงบันดาลทรัพย์ทั้งปวง แม้แต่ข้าวเปลือก น้ำมัน
น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น จนชั้นที่สุดแม้ทาสและกรรมกรให้
อันตรธานหายไป. พวกคนผู้จัดทานมาบอกท่านเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย
โรงทานขาดหายไป พวกข้าพเจ้าไม่เห็นอะไร ๆ ในที่ที่เก็บไว้. ท่าน
เศรษฐีกล่าวว่า พวกท่านจงนำทรัพย์สำหรับจับจ่ายไปจากที่นี้ อย่า
ตัดขาดทานเสียเลย แล้วเรียกภรรยามาพูดว่า นางผู้เจริญ เธอจงให้
ทานดำเนินไป. ภรรยานั้นค้นหาจนทั่วเรือนไม่พบแม้แต่กึ่งมาสก

จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย ดิฉันไม่เห็นอะไร ๆ อื่น ยกเว้นผ้าที่เราทั้งหลาย
นุ่งห่มอยู่ ว่างเปล่าไปทั่วทั้งเรือน. ท่านเศรษฐีให้เปิดประตูห้องเก็บ
รัตนะ 7 ก็ไม่เห็นอะไร ๆ แม้ทาสและกรรมกรอื่นๆ ก็ไม่ปรากฏ
ยกเว้นเศรษฐีกับภรรยา. มหาสัตว์เรียกภรรยามาอีกแล้วกล่าวว่า
นางผู้เจริญ เราไม่อาจตัดขาดการให้ทาน เธอจงค้นหาให้ทั่วนิเวศน์
พิจารณาดูของบางอย่าง. ขณะนั้น คนหาบหญ้าคนหนึ่ง ทิ้งเคียว
คาน และเชือกมัดหญ้าไว้ระหว่างประตูแล้วหนีไป. ภรรยาของ
เศรษฐีเห็นดังนั้น จึงได้นำมาให้โดยพูดว่า ข้าแต่นายเว้นสิ่งนี้ ดิฉัน
ไม่เห็นของอย่างอื่น. พระมหาสัตว์กล่าวว่า นางผู้เจริญ ธรรมดาหญ้า
เราไม่เคยเกี่ยวตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แต่วันนี้ เราจักเกี่ยวหญ้า
นำมาขายแล้วให้ทานตามสมควร เพราะกลัวการให้ทานจะขาด จึง
ถือเอาเคียว คาน และเชือกออกจากพระนครไปยังที่มีหญ้าแล้ว
เกี่ยวหญ้าคิดว่า หญ้าฟ่อนหนึ่งจักเป็นของพวกเรา และจักให้ทาน
ด้วยหญ้าฟ่อนหนึ่ง จึงมัดหญ้าเป็น 2 ฟ่อน คล้องที่คานถือเอาไป
ขายที่ประตูเมือง ได้มาสกมาแล้วได้ให้ส่วนหนึ่งแก่พวกยาจก แต่
พวกยาจกมีมากด้วยกัน เมื่อพวกเขาร้องขอว่า ให้ข้าพเจ้าบ้าง จึงได้
ให้ส่วนแม้นอกนี้ไปอีก วันนั้น จึงไม่มีอาหารพร้อมทั้งภรรยา ให้
เวลาล่วงผ่านไป. โดยทำนองนี้ ล่วงไป 6 วัน. ครั้นวันที่ 7 เมื่อ
เศรษฐีนั้นกำลังนำหญ้ามา เป็นผู้อดอาหารมา 7 วัน ทั้งเป็น
สุขุมาลชาติ พอเมื่อแสดงอาทิตย์กระทบหน้าผาก นัยน์ตาทั้งสองข้าง

ก็พร่าพราย. เศรษฐีนั้นไม่อาจดำรงสติไว้ได้ จึงล้มทับหญ้าลงไป.
ท้าวสักกะเสด็จเที่ยวตรวจดูกิริยาอาการของเศรษฐีนั้นอยู่. ทันใดนั้น
ท้าวเธอเสด็จมาประทับยืนในอากาศ ตรัสกล่าว่าคาถาที่ 1 ว่า :-
ดูก่อนวิสัยหะ แต่ก่อนท่านได้ให้ท่าน
เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น ความเสื่อมได้มี
แต่ท่านแล้ว ต่อแต่นั้นไป ถ้าท่านจักไม่ให้
ท่านไซร้ เมื่อท่านประหยัดไว้ โภคะทั้งหลาย
ก็คงดำรงอยู่ตามเดิม.

อธิบายคำที่เป็นคาถานั้นว่า ท่านวิสัยหะผู้เจริญ เมื่อก่อน
แต่กาลนี้ เมื่อทรัพย์ในเรือนของท่านยังมีอยู่ ท่านได้ให้ทานทำ
สกลชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ยกงอนไถขึ้นแล้ว และเมื่อท่านนั้นให้ทานอยู่
อย่างนี้ ธรรมคือความเสื่อมได้แก่สภาวะคือความเสื่อมโภคะจึงได้มี
ขึ้น คือทรัพย์ทั้งมวลหมดสิ้นไป แม้ถ้าเบื้องหน้าแต่นี้ ท่านจะไม่
ให้ทานไซร้ คือจะไม่ให้อะไร ๆ แก่ใคร ๆ เมื่อท่านประหยัดไว้ คือ
ไม่ให้อยู่ โภคทั้งหลายจะพึงดำรงอยู่เหมือนอย่างเดิม ท่านจง
ปฏิญญาว่า ตั้งแต่นี้ไปจักไม่ให้ทาน เราจักให้โภคะทั้งหลายแก่ท่าน.
พระมหาสัตว์ได้ฟังดำรัสของท้าวสักกะนั้นแล้วจึงถามว่า ท่าน
เป็นใคร. ท้าวสักกะตรัสว่าเราเป็นท้าวสักกะ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
ธรรมดาท้าวสักกะ พระองค์เองให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ

บำเพ็ญวัตรบท 7 ประการ จึงถึงความเป็นท้าวสักกะ แต่พระองค์
ทรงห้ามการให้ทานอันเป็นเหตุแห่งความเป็นใหญ่ของพระองค์ ทรง
ทำวัตรจรรยาอันมิใช่ของอารยชน แล้วได้กล่าวคาถา 3 คาถาว่า :-
ข้าแต่ท้าวสหัสสเนตร พระอริยะ
ทั้งหลายกล่าวถึงบาปกรรมว่า อันอารยชน
ถึงจะเป็นคนอยากจนเข็ญใจก็ไม่ควรทำ ข้า-
แต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ ข้าพระบาทจะพึง
เลิกละศรัทธา เพราะการบริโภคทรัพย์อันใด
เป็นเหตุ ทรัพย์อันนั้นอย่าได้มีเลย.
รถคันหนึ่งแล่นไปทางใด รถคันอื่น
ก็แล่นไปทั้งนั้น ข้าแต่ท้าววาสวะ วัตรที่
ข้าพระบาทบำเพ็ญมาแล้วแต่ครั้งก่อน ขอจง
เป็นไปเหมือนอย่างนั้นเถิด.
ถ้ายังมียังเป็นอยู่ ข้าพระบาทก็จะให้
เมื่อไม่มีไม่เป็น จะให้ได้อย่างไร แม้ถึงจะ
มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้วก็ตาม ก็จะต้อง
ให้ เพราะข้าพระบาทจะลืมการให้ทานเสีย
มิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนริยํ ได้แก่ บาปกรรมอัน

ลามก. บทว่า อริเยน ได้แก่ อริยชนผู้มีอาจาระอันบริสุทธิ์. บทว่า
สุทุคฺคเตนาปิ ได้แก่ ถึงจะขัดสนแร้นแค้น. บทว่า อกิจจมาหุ
ความว่า พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าวไว้. อธิบายว่า
ก็พระองค์ตรัสบอกทางอันไม่ประเสริฐกะข้าพระบาท. ศัพท์ว่า โว
เป็นเพียงนิบาต. ด้วยบทว่า ยํ โภคเหตุํ นี้ ท่านแสดงความว่า
เราละคิดละทิ้งศรัทธาในการให้ทาน เพราะการบริโภคทรัพย์ใดเป็น
เหตุ ทรัพย์นั้นนั่นแหละอย่าได้มี คือ เราไม่ต้องการทรัพย์นั้น.
บทว่า รโถ ได้แก่ รถอย่างใดอย่างหนึ่ง. ท่านอธิบายว่า รถคันหนึ่ง
แล่นไปโดยทางใด แม้รถคันอื่นก็แล่นไปโดยทางนั้น ด้วยเข้าใจว่า
นี้เป็นทางเดินของรถ. บทว่า โปราณํ นิหตํ วตฺตํ ความว่า
วัตรที่เราเคยบำเพ็ญมาในครั้งก่อนนั่นแหละ เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่
จงดำเนินไปเถิด คืออย่าหยุดอยู่เลย. บทว่า เอวํ ภูตาปี ความว่า
เราแม้จะเป็นคนหาบหญ้าอย่างนี้ ก็จักให้ทานตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่.
เพราะเหตุไร ? เพราะเราจะไม่ละลืมการให้ทาน. ท่านแสดงความว่า
เพราะผู้ไม่ให้ ย่อมชื่อว่าละลืม คือไม่ระลึกถึง ไม่กำหนดถึงการให้
ทาน ส่วนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ปรารถนาจะลืมการให้ทาน
เพราะฉะนั้น เราจักให้ทานเหมือนอย่างเดิม.
ท้าวสักกะเมื่อไม่อาจทรงห้ามวิสัยหะเศรษฐีนั้น จึงตรัสถามว่า
ท่านให้ทานเพื่อประโยชน์อะไร ? วิสัยหะเศรษฐีทูลว่า ข้าพระบาทมิได้
ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือความเป็นพระพรหม แต่ปรารถนา

พระสัพพัญญุตญาณ จึงให้ทาน. ท้าวสักกะได้ทรงสดับคำของวิสัยหะ
นั้นแล้วดีพระทัยจึงเอาพระหัตถ์ลูบหลัง. เมื่อพระโพธิสัตว์พอถูก
ท้าวสักกะทรงลูบหลังในขณะนั้นนั่นเองสรีระทั้งสิ้นก็เต็มบริบูรณ์
และด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ กำหนดเขตแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหมด
ของพระโพธิสัตว์นั้นก็กลับเป็นไปตามปกติอย่างเดิม. ท้าวสักกะ
ตรัสว่าท่านมหาเศรษฐี จำเดิมแต่นี้ไป ท่านจงสละทรัพย์ 12 แสน
ให้ทานทุกวันเถิด แล้วประทานทรัพย์หาประมาณมิได้ไว้ในเรือนของ
พระโพธิสัตว์นั้น ทรงส่งพระโพธิสัตว์แล้ว เสด็จไปเทวสถานของ
พระองค์.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า ภรรยาของเศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็นมารดาพระราหุล ส่วน
วิสัยหเศรษฐี ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวิสัยหชาดกที่ 10

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ


1. โกกาลิกชาดก 2. รถลัฏฐิชาดก 3. โคธชาดก
4. ราโชวาทชาดก 5. ชัมพุกราดก 6. พรหาฉัตตชาดก
7. ปีฐชาดก 8. ถุสชาดก 9. พเวรุชาดก 10. วิสัยหชาดก
จบ โกกิลวรรคที่ 4